ก่อนหน้า
S01E11
HIGHLIGHTS:
- เรื่องราวประวัติความเป็นมาของท่านพระมหากัสสปะ อสีติมหาสาวกองค์ที่ 4 ผู้เป็นเลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในเรื่องการสมาทานธุดงควัตร
- การจำแนกเหล่าของชื่อ “กัสสปะ” ที่มีการนำไปใช้และมีการกล่าวถึงในพระไตรปิฎก
- การบำเพ็ญบารมีของท่านพระมหากัสสปะ จนได้มาเกิดร่วมสมัยกับพระพุทธเจ้าและบรรลุพระอรหันต์
- ต้นแบบการถือธุดงค์ และ 5 เหตุปัจจัยอันควรตั้งไว้ ในการถือธุดงควัตร
- การบวชแบบพิเศษที่เรียกว่า “ปฏิคคหณอุปสัมปทา” ซึ่งท่านพระมหากัสสปะเป็นภิกษุเพียงรูปเดียวที่พระพุทธเจ้าบวชให้ด้วยวิธีนี้
- การปฐมสังคายนาพระไตรปิฎก ในพระพุทธศาสนา
บทคัดย่อ
การบำเพ็ญบารมี:
- พระเถระที่มีนามว่า “กัสสปะ” มีอยู่หลายองค์ จึงต้องมีการกำหนดชื่อให้แตกต่างกัน คือ
- พระมหากัสสปะ ท่านเป็นพระมหาเถระที่ทรงคุณอันยิ่งใหญ่ มีอาวุโสมาก จึงเรียกกันว่า มหากัสสปะ
- พระอุรุเวลกัสสปะ ท่านบวชเป็นฤษีตำบลอุรุเวลา จึงได้ชื่อว่า อุรุเวลกัสสปะ
- พระนทีกัสสปะ ท่านบวชเป็นฤษีอยู่ที่คุ้งมหาคงคานที จึงได้ชื่อว่า นทีกัสสปะ
- พระคยากัสสปะ ท่านบวชเป็นฤษีอยู่ที่คยาสีสประเทศ จึงได้ชื่อว่า คยากัสสปะ
- พระกุมารกัสสปะ เพราะท่านบวชตั้งแต่เวลาที่เป็นเด็ก จึงได้ชื่อว่า กุมารกัสสปะ
- ท่านพระมหากัสสปะ ได้บำเพ็ญบารมีมาโดยตั้งความปรารถนาไว้ว่าอยากเป็นผู้มีคุณสมบัติ มีความเป็นเลิศ ในการสมาทานธุดงควัตร และท่านได้บำเพ็ญบารมีมาตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้าปทุมุตร จนได้มาเกิดร่วมสมัยกับพระพุทธเจ้า สมัยนั้นท่านพระมหากัสสปะได้เกิดเป็นกุลบุตรชื่อเวทหะ ได้เห็นพระรูปหนึ่งชื่อท่านพระมหานิสสภะ เห็นแล้วศรัทธามาก ว่าทำไม รูปนี้มีความงดงามมากเลย เกิดความศรัทธา อยากจะเป็นเหมือนพระรูปนั้นซึ่งท่านมีความเลิศในเรื่องของธุดงควัตร
- ท่านพระมหากัสสปะได้สร้างบำเพ็ญบารมีร่วมสมัยกับพระพุทธเจ้ามากที่สุด คือ สมัยพระพุทธเจ้าปทุมตร มาต่อที่ สมัยพระพุทธเจ้าวิปัสสี สมัยพระพุทธเจ้าโกนาคมนะ และพระพุทธเจ้ากัสสปะ ซึ่งไม่ว่าจะผ่านมากี่พระองค์ ท่านก็ตั้งความปรารถนาที่จะมีความเป็นเลิศในการสมาทานธุดงควัตรมาตลอด
- ธุดงควัตร หมายถึง ข้อปฏิบัติอันบุคคลทำได้อยาก อ้นเป็นไปเพื่อขูดเกลากิเลสอย่างยิ่ง ซึ่งเป็นข้อปฏิบัติทางเลือกไม่ได้บังคับว่าต้องทำ ต้องปฏิบัติ เช่น ฉันในภาชนะเดียว บิณฑบาตเป็นวัตร อยู่ป่าเป็นวัตร อยู่ในโคนไม้เป็นวัตร อยู่ป่าช้าเป็นวัตร
- เหตุที่ไม่ควรถือธุดงควัตร ประกอบด้วย ความฟุ้งซ่าน ให้คนยกย่อง/สรรเสริญเยินยอ ให้พระพุทธเจ้าชม ให้เพื่อนชม เพื่อลาภสักการะ แต่ควรถือธุดงควัตรเพื่อขูดเกลากิเลส
- การห่มผ้าบังสุกุล ก็เป็นหนึ่งในข้อปฏิบัติธุดงควัตร บังสุกลแปลว่า เปื้อนแล้ว ทิ้งแล้ว ไม่เอาแล้ว เช่น ผ้าห่อศพ ผ้าขี้ริ้ว ผ้าที่ทิ้งตามกองขยะ พระเวลาที่จะชักผ้าบังสุกุล เช่น เวลาเดินไปบิณฑบาตแล้วเห็นผ้าที่ถูกทิ้งไว้ เมื่อสังเกตุดูแล้วว่าไม่มีเจ้าของที่จะมาถือเอา ท่านจะคลี่ผ้าออกเพื่อดูว่าขนาดพอจะใช้ได้ไหม ถ้าใช้ได้ก็จะทำการชักบังสุกุล ซึ่งพระพุทธเจ้าใช้คำว่า “ชักบังสุกุลสัญญา” โดยหมายว่า ไม่ได้มีเจ้าของ เพราะถ้ามีเจ้าของแล้วพระไปถือเอาจะปราชิกทันที เพราะไปถือเอาของที่เจ้าของเค้ายังไม่ได้ให้
- ผ้าบังสุกุลนั้นต้องเป็นผ้าที่มีจำนวน 3 ผืน เอามาต่อ ๆ กัน ปะแล้วปะอีก ทำให้ผ้าหนาและหนัก ซึ่งทำให้ พระพุทธเจ้าท่านทรงเชิญชวนท่านพระมหากัสสปะว่า “กัสสปะ ผ้าเธอมันทั้งหนาและหนักด้วย และอายุก็ทั้งมากด้วย เธอห่มผ้าคหบดีก็ได้ ไม่ต้องห่มผ้าบังสุกุล” แต่ถึงแม้ท่านได้รับคำเชิญจากพระพุทธเจ้า ท่านพระมหากัสสปะก็ปฏิเสธ ด้วยเหตุผลที่ว่าตนต้องการสมาทานธุดงควัตรและเป็นตัวอย่างของภิกษุรุ่นต่อ ๆ ไปด้วย
- ท่านพระมหากัสสปะท่านได้บำเพ็ญบารมีเพื่อที่จะได้มาซึ่งความเป็นเลิศในการสมาทานธุดงควัตร ท่านก็ได้ถวายผ้าเป็นทานมาตลอดเพื่อให้มีคุณธรรมในข้อนี้ เช่น ในชาติหนึ่งของท่าน ท่านเกิดเป็นพราหมณ์ ชื่อเอกสาฎก ที่มีผ้าสาฎก ผืนเดียว ซึ่งเป็นผ้าที่ใช้คลุมเพื่อไม่ให้น่าเกลียดเกินไปเวลาออกไปนอกบ้าน แล้วต้องสลับกันใส่กับภรรยาเวลาที่จะออกไปนอกบ้าน ครั้งหนึ่งมีประกาศการแสดงธรรมก็ต้องสลับกันกับภรรยาห่มเพื่อไปฟังธรรม
- มาในชาติที่เกิดมาในสมัยเดียวกับพระพุทธเจ้าสมณโคดม ท่านเกิดในครอบครัวมหาศาลมีฐานะชื่อว่า ปิปผลิมานพ ในการบำเพ็ญบารมีของท่านจะมีผู้หญิงที่เกิดมาคู่ท่านเสมอ เป็นภรรยาของท่าน ซึ่งในชาตินี้ก็เช่นเดียวกัน ท่านได้แต่งงานกับภรรยาซึ่งทั้งสองคนไม่ได้อยากแต่งงานแต่เมื่อแต่งงานกันแล้ว ก็ไม่ได้อยู่กันฉันสามีภรรยาทั่วไปคือไม่มีการยุ่งเกี่ยวกัน และเมื่อบิดามารดาของทั้งสองฝ่ายเสียชีวิต ทั้งสองก็ได้ออกบวชในที่สุด
- โดยท่านพระมหากัสสปะในตอนนั้นก็ได้ โกนผมแล้วห่มผ้าเลย โดยไม่มีพิธีอะไร แต่เมื่อไปเจอกับพระพุทธเจ้าแล้วจึงได้ขอบวชกับพระพุทธเจ้า ด้วยความที่ท่านพระมหากัสสปะในขณะนั้นเป็นผู้ที่มีคุณธรรมมาก พระพุทธเจ้าจึงได้ทำการบวชแบบพิเศษให้ เรียกว่า ปฏิคคหณอุปสัมปทา คือเป็นผู้รับโอวาทแล้วจึงได้บวช ซึ่งท่านพระมหากัสสปะเป็นภิกษุรูปเดียวที่พระพุทธเจ้าบวชให้ด้วยวิธีนี้
- โอวาทที่ พระพุทธเจ้าให้กับท่านพระมหากัสสปะ ในการบวชด้วยวิธี ปฏิคคหณอุปสัมปทา นี้ ประกอบด้วย โอวาท 3 ประการ
- ให้ตั้งความละอายไว้ในภิกษุผู้ใหม่ ผู้ปานกลาง ผู้เฒ่า
- ให้ทำการศึกษาว่าจะต้องฟังธรรม
- ให้ทำการศึกษาว่าให้ตั้งสติไว้ในกาย
- เมื่อท่านพระมหากัสสปะรับโอวาทนั้นมาแล้วก็ถือว่าเป็นการบวชแล้วของท่านซึ่งเป็นการบวชแบบพิเศษ
- ท่านพระมหากัสสปะเป็นผู้ที่มีคุณธรรมสูงมาก บำเพ็ญบารมีมามาก อันจะเห็นได้จากหลายๆ เหตุการณ์ดังต่อไปนี้
- พระพุทธเจ้าทรงยกย่องท่านพระมหากัสสปะว่าเป็นผู้ที่มีสมาบัติสูงเทียบได้กับพระพุทธเจ้าเลย พระพุทธเจ้าสามารถเข้าสมาธิได้ละเอียดอย่างไร ลึกแค่ไหน ท่านพระมหากัสสปะก็สามารถทำได้เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า นอกจากนี้ยังมีคุณธรรมด้านอื่น ๆ เช่น อภิญญา 6
- ท่านพระมหากัสสปะเป็นภิกษุรูปเดียวที่ได้รับการเปลี่ยนผ้าสังฆาฏิกับพระพุทธเจ้า ท่านพระมหากัสสปะ เป็นผู้ที่มีความเหมาะสมด้วยว่าท่านเป็นผู้ที่มีบุญมาก มีคุณธรรมสูง
- อีกเหตุการณ์หนึ่ง ที่แสดงถึงความที่ท่านพระมหากัสสปะเป็นผู้ที่มีคุณธรรมสูงมาก คือ ถ้าท่านพระมหากัสสปะเคารพใครแล้ว และผู้นั้นมีคุณธรรมไม่สูง ผู้ที่ท่านทำความเคารพจะต้องมีอันเป็นไป ซึ่งจะเป็นเหตุการณ์ลักษณะพิเศษ ๆ ที่เกิดขึ้นเฉพาะกับท่านพระมหากัสสปะ
- แม้แต่พระธรรมดา ๆ กลิ่นศีลทวนลมไปก็ยังรู้ นี้ระดับท่านพระมหากัสสปะผู้มีคุณธรรมสูง จึงทำให้มีผู้ที่อยากจะมาอุปัฏฐากดูแล ทั้งท้าวสักกะ นางอัปสร เทวดา
การบวช:
- มาถึงเหตุการณ์ตอนท่านบวชแล้ว ท่านใช้เวลาอยู่ 7 วัน ในการบำเพ็ญเพียรเพื่อที่จะบรรลุเป็นพระอรหันต์ หลังจากท่านได้บรรลุธรรมแล้ว ท่านได้กล่าวคำออกมาว่า “ท่านกินข้าวชาวเมืองสูญเปล่าอยู่ 7 วัน แต่พอวันที่ 8 ไปแล้วท่านกินข้าวชาวเมืองไม่สูญเปล่าแล้ว” ซึ่งเป็นแง่คิดให้ลูกศิษย์ภิกษุในรุ่นหลังต่อๆ มา ได้มีข้อคิดว่า ที่เรายังอยู่ดีกันอยู่ทุกวันนี้มันสูญเปล่า หรือ มันดีแล้ว ขนาดท่านพระมหากัสสปะ บำเพ็ญบารมีมาปานนี้ เป็นผู้บรรลุธรรมยังพูดด้วยซ้ำว่า เป็นการสูญเปล่าของชีวิต ถึง 7 วัน
การแสดงธรรม:
- มาถึงเรื่องการแสดงธรรม คำสอน มีครั้งหนึ่งที่ ท่านพระอานนท์ได้เชิญท่านพระมหากัสสปะไปเทศน์สอนนางภิกษุณี แต่ท่านพระมหากัสสปะก็ไม่อยากไป ชวนกันถึง 3 รอบ ในที่สุดท่านพระมหากัสสปะได้ไปเทศน์สอนนางภิกษุณี อย่างดีมากสามารถทำให้ภิกษุณีรู้ธรรมอาจหาญร่าเริงในธรรมได้ มีภิกษุณีรูปหนึ่งชื่อถุลลติสสา ได้พูดขึ้นว่าทำไม่ให้ท่านพระอานนท์เทศน์สอน เพราะปรกติจะให้ท่านพระอานนท์เทศน์สอน ท่านพระอานนท์เป็นพหูสูตร แต่ทำไมวันนี้ทำไมมาเป็นท่านพระมหากัสสปะไม่ดี ๆ
- ท่านพระอานนท์ ได้ยินดังนั้นบอกว่าไม่เหมาะสมเลยที่นางกล่าวอย่างนั้น แต่นางภิกษุณีรูปนี้ได้กล่าวต่อไปอีกว่า จะไปเปรียบเทียบกันได้อย่างไร กับการเทศน์ของท่านพระอานนท์ เหมือนคนขายเข็มเอาเข็มไปขายช่างเข็ม
- ท่านพระมหากัสสปะจึงได้พูดขึ้นว่านางเปรียบเทียบท่านพระอานนท์เป็นคนขายเข็มหรือเป็นช่างเข็ม หรือว่าท่านพระมหากัสสปะเป็นช่างเข็มหรือคนขายเข็ม ใครเป็นใครกันแน่ ด้วยนางภิกษุณี เปรียบท่านพระอานนท์เป็นเหมือนช่างเข็ม และท่านพระมหากัสสปะเป็นคนขายเข็ม ทำไมเอาเข็มมาขายช่างเข็ม
- แต่ด้วยท่านพระอานนท์รู้ว่าคุณธรรมของท่านพระมหากัสสปะนั้นมีมาก เพราะขณะนั้นท่านพระอานนท์เป็นพระโสดาบัน ส่วนพระมหากัสสปะเป็นพระอรหันต์แล้ว และพระอานนท์ทราบว่า ท่านพระมหากัสสปะได้เปลี่ยนสังฆาฏิกับพระพุทธเจ้า ด้วยมีคุณธรรมหลายอย่าง และท่านพระอานนท์ได้เปรียบเทียบท่านกับ ท่านพระมหากัสสปะ ว่า เคยมีไหมที่พระพุทธเจ้าจะยกย่องท่านพระอานนท์ว่า สามารถเข้าสมาบัติได้อย่างคล่องแคล่ว ได้เหมือนกันพระพุทธเจ้า เคยมีหรือไม่ ท่านพระอานนท์ไม่สามารถทำได้อย่างที่ท่านพระมหากัสสปะทำได้ นอกจากนี้ท่านพระอานนท์ก็ยังไม่ได้มีคุณธรรมเรื่องอภิญญา 6 นอกจากนี้แล้วท่านพระอานนท์ยังไม่เคยได้รับโอกาสให้เปลี่ยนผ้าสังฆาฏิกับพระพุทธเจ้า เมื่อนางภิกษุณีได้ยินดังนั้น ได้ลาสึกเลยเพราะทราบว่าตนทำไม่ดี ทำไม่ถูก
- เหตุการณ์อย่างเดียวกันนี้ก็ได้เกิดขึ้นกับนางภิกษุณีรูปหนึ่งชื่อถุลลนันทา ในขณะนั้นท่านพระอานนท์ได้มาดูแลภิกษุอยู่กลุ่มหนึ่งอยู่แต่ว่าไม่สามารถว่ากล่าวตักเตือนเค้าได้ ทำอะไรไม่ดีไม่งาม พอท่านพระมหากัสสปะมาเห็นว่าทำไม่ถูกไม่ดีไม่งามก็เลยพูดให้ว่า ท่านพระอานนท์ต้องมาดูแลภิกษุกลุ่มนี้อย่างไรอย่างไร นางภิกษุณีรูปหนึ่งชื่อถุลลนันทา ก็พูดในทำนองเดียวกันกับภิกษุณีถุลลติสสาและได้สึกออกไปในที่สุด
- มีครั้งหนึ่งท่านได้ปรารภกับท่านพระมหากัสสปะ โดยเอามือโบกไปมาอย่างนี้ แล้วตรัสว่า มือ กับอากาศไม่ติดกัน เธอทั้งหลายจงทำการภาวนา ทำการพัฒนาจิตให้เหมือนกับว่า จิตอันหนึ่งกายอันหนึ่งและได้พูดถึง ดวงจันทร์ที่อยู่บนท้องฟ้าและดวงจันทร์ที่สะท้อนบนพื้นน้ำ สองอันนี้ไม่ติดกัน ให้เราทำการภาวนาแยกกายกับจิตให้ไม่ติดกัน
- คือมาจากอันเดียวกันก็จริง แต่ไม่ติดกัน ลูบมือไปในอากาศมือไม่ติดในอากาศเหมือนกัน คือสอนว่าให้ภาวนาให้จิตกับกายแยกกันได้อย่างนี้ ใครที่ทำได้อย่างนี้ ท่านได้ชี้ไปที่ท่านพระมหากัสสปะ “ท่านทำได้อย่างงี้”
- นอกจากนี้ ยังมีเหตุการณ์ที่ท่านพระสารีบุตรคุยกับท่านพระมหากัสสปะ เรื่องบัญญัติ 10 ประการ ท่านพระสารีบุตรถามว่า ทำไมพระพุทธเจ้า ไม่สอนเรื่องโลกหน้ามีโลกนี้มี เพราะมันไม่มีประโยชน์ ไม่เป็นที่สุดของพรหมจรรย์ ไม่เป็นไปเพื่อความหน่าย คลายกำหนัด ไม่เป็นไปพร้อมเพื่อนิพพาน แล้วพระพุทธเจ้าสอนอะไร และท่านพระมหากัสสปะตอบท่านสอนเรื่องอริยะสัจสี่ ซึ่งนี้ไม่ใช่ท่านพระมหาสารีบุตร ท่านไม่รู้ แต่นี้เป็นการสนทนาธรรมของพระอริยะสาวก นอกจากนี้มีการสนทนาธรรมระหว่างพระมหากัสสปะกับทานพระอานนท์
- นอกจากนี้พระพุทธเจ้ายังได้เปรียบสัจธรรมปฏิรูป โดยเปรียบเทียบทองคำ ระหว่างทองคำปลอม กับทองคำจริง ดูเหมือน ๆ กัน คุณค่าไม่เท่ากัน น้ำหนักก็ไม่เท่ากัน ความหนาแน่นก็ไม่เท่ากัน ซึ่งก็เหมือนกับสัจธรรมปฏิรูปซึ่งดูเหมือน ๆ กัน แต่มันไม่บริสุทธิ์ เช่น บอกว่าปล่อยวาง ๆ มันกลายเป็นไม่แคร์ไม่สนใจ ไม่แยแส กลายเป็นโมหะเต็มๆ แต่ของจริงนั้นจะมีการปล่อยวางได้ คือต้องมีสมาธิ คือ ต้องเห็นตามความเป็นจริง ต้องมีความหน่าย คลายกำหนัด ถึงจะปล่อยวางได้
- ของจริงต้องมาตามมรรค แต่ของปลอมนี้คือมีไม่เต็มส่วน คือเบี้ยวมาแล้วมาทางลัดคิดว่าตัวเองได้แต่จริง ๆ ไม่ได้
โทษของการทำไม่ดีกับผู้มีคุณธรรมสูง:
- ด้วยความที่คุณธรรมของท่านพระมหากัสสปะสูงมาก พอมีใครทำไม่ดีก็จะมีโทษสูงมาก ท่านพระมหากัสสปะเคยมีลูกศิษย์ที่คอยอุปัฏฐากท่านอยู่ แล้วทำไม่ดีถึงขนาดเผากุฏิเลย ลูกศิษย์คนนี้ภายหลังตายแล้วก็ไปตกนรก
- มีลูกศิษย์อีกชุดหนึ่งที่มาบวชกับท่านพระมหากัสสปะและฝึกสมาธิได้ฌาน 4 วันหนึ่งได้ไปบิณฑบาตที่บ้านของลุงตนเอง ก็มีหญิงสาวในเรือนเป็นช่างทองนั่งไม่เรียบร้อย และภิกษุนั้นก็ไม่ได้สำรวมอินทร์ ก็เลยมีความคิดที่จะลาสึก ไปครองเรือนกับผู้หญิงคนนั้นในบ้านของลุง แต่ภิกษุรูปนี้เป็นคนขี้เกียจ ไม่ทำกิน เขาจึงไล่หนี้ ด้วย เพราะมีเพื่อนชั่ว จึงพากันไปเป็นโจร และถูกจับได้ และเขาจะนำไปฆ่า ก่อนที่จะไปฆ่าก็แห่ไปตามรอบเมืองก่อน ปรากฏว่าตอนน้้นเป็นเวลาเช้าพอดี ท่านพระมหากัสสปะไปบิณฑบาต จำได้ว่าเป็นลูกศิษย์ที่มาบวชแล้วสึกไป อ้าวทำไมถึงมาเป็นอย่างนี้ เลยได้ให้เค้าผ่อนเชือกลงนิดหนึ่ง และได้บอกว่าให้ระลึกถึงคุณของ เนกขัมมะ จึงนึกได้ว่าตนได้ทำกรรมหนักแล้ว พลาดไปแล้ว เลยเข้าสมาธิได้ฌาน4 ระลึกคุณของเนกขัมมะได้ เลยได้ฌาน 4 และได้บรรลุธรรม พ้นจากโทษจุดนั้นมา
การปรินิพพาน:
- ท่านพระมหากัสสปะนี้ นิพพานหลังพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าปรินิพพานก่อน ทั้งที่ท่านพระมหากัสสปะอายุมากกว่าพระพุทธเจ้า ตอนนั้นท่านพระมหากัสสปะอยู่ที่เมืองราชคฤห์ มีบริวารมาก พระพุทธเจ้าท่านปรินิพพานที่เมืองกุสินารา ที่ระหว่างต้นสาระคู่ ในวันที่ 7 ที่ท่านกำลังเดินทางไป เขากำลังเตรียมพิธีถวายพระเพลิง แต่ไฟจุดไม่ติด ก็เพื่อที่จะรอท่านพระมหากัสสปะนี้เอง นั้นเป็นเพราะที่เทวดาไม่อนุโมทนาด้วย ที่พวกเจ้าลิจฉวี และพวกเจ้ามัลลกษัตริย์ จะมาจุดไฟ ให้รอท่านพระมหากัสสปะก่อน และพอท่านพระมหากัสสปะมาถึง พอท่านก้มกราบ ครบสามครั้ง ไฟจุดติดขึ้นเองเลย
- มีข้อสังเกตจุดหนึ่งทำไมท่านถึงรู้ว่า พระพุทธเจ้าปรินิพพาน เพราะเห็นคนถือดอกมณฑารพมาแล้วร้องให้คร่ำครวญมา ทำให้ท่านทราบว่าดอกมณฑารพ นี้ มันมีแค่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์นะ ไม่ได้มีทั่วไป ทำไมเธอถึงได้มา มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น จึงทำให้ท่านทราบว่าพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว
- และพระที่มาด้วยกันกับท่านพระมหากัสสปะ ชื่อว่า สุภัททะ ได้อุทานขึ้นมาว่าดีแล้วๆ ไม่ต้องมีใครมาจ้ำจี้จ้ำชัย ทำให้ท่านพระมหากัสสปะคิดว่า นี้ขนาดพระพุทธเจ้าท่านปรินิพพานไปแค่ 7 วันเองนะเนี่ย จึงเป็นเหตุให้ท่านริเริ่มให้มีการสังคายนา คือการทบทวนคำสอนให้มันตรงกันและก็สวดขึ้นพร้อมกัน ท่านพระมหากัสสปะจึงเป็นประธานในการทำสังคายนาในครั้งนั้น ซึ่งเป็นการสังคายนาอย่างเป็นทางการครั้งแรก หลังจากที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว
- แต่จริง ๆ แล้ว ก่อนหน้านั้น มีการทำสังคายนาโดยท่านพระมหาสารีบุตร (ปรากฏในสังฆีติสูตร) อย่างไม่เป็นทางการ ซึ่งขณะนั้นพระพุทธเจ้าท่านยังไม่ปรินิพพาน ท่านพระมหาสารีบุตรได้ดำริให้มีการจัดเรียงไว้เป็นคู่เป็นคู่
- มีเรื่องเล่าว่า ทำไมถึงเอาพระแค่ 500 รูปมาร่วมทำสังคายนา เพราะท่านเลือกเอาเฉพาะเหล่าพระอรหันต์ 500 รูป
- ในอีกที่หนึ่งก็ได้มีการอธิบายไว้ว่า ที่อื่นก็ได้มีการทำสังคายนาเหมือนกัน โดยมีพระจำนวนมากกว่า 500 รูปด้วย โดยทำการสังคายนานอกถ้ำ สถานที่ที่ทำสังคายนาในครั้งนั้นคือ ถ้ำปิปปผลิคูหา เมืองราชคฤห์ พวกนี้ทำการสังคายนานอกถ้ำ จึงเป็นเหตุให้มีการแยกเป็นมหานิกาย ส่วนที่มีการทำสังคายนาครั้งที่ 1 อย่างเป็นทางการนั้นเป็นของทางนิกายเถรวาท จึงมีการแบ่งนิกายตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
- ในสมัยต่อมาท่านพระมหากัสสปะก็ได้นิพพาน เรื่องราวในตอนที่ท่านนิพพานมีความพิสดารมากเพราะร่างท่านยังไม่ได้การเผา ร่างท่านยังอยู่ เพราะว่าท่านมีกรรมที่ทำกันมากับพระพุทธเจ้าที่จะมาตรัสรู้องค์ต่อไป คือ พระสัมมาสัมพุทธ ชื่อเมตไตรย ร่างของท่านจึงถูกเก็บไว้ในระหว่างภูเขาสามลูกชนกัน ปิดกันไว้ และไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน พอถึงเวลาสมัยที่อายุ มนุษย์จากนี้ 100 ปีโดยประมาณ ลดลง ๆ เหลือ 10 ปี จนขึ้นมาถึง 80,000 ปี จะมีพระพุทธเจ้าเมตไตรยมาอุบัติขึ้น เมื่อถึงจุดนั้น พระพุทธเจ้าเมตตยะก็จะมาฌาปนกิจร่างของท่านพระมหากัสสปะ
พระสูตร / เรื่องที่เกี่ยวข้อง
- อ่าน "เอตทัคควรรค" พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๐ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๒ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต
- อ่าน "ประวัติพระมหากัสสปเถระ" อรรถกถา อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เอตทัคคบาลี
- อ่าน "สังคีติสูตร (๓๓)" พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๓ ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค
- ฟัง "ขุดเพชรจากพระไตรปิฎก (ตอนที่ 10 พระไตรปิฎกเล่มที่ 20 อังคุตตรนิกายที่ 14 : เอตทัคควรรค ข้อที่ 190)" ออกอากาศทาง FM92.5 เมื่อวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2562
- ฟัง "ธุดงค์สิบสาม" ออกอากาศเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
- ฟัง "ปฏิบัติธุดงค์วัตรอย่างไรเพื่อขูดเกลากิเลส" ออกอากาศเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2556